Wednesday, September 30, 2009

บทเพลงแห่งความตาย: Viva La Vida คือคำสารภาพของกษัตริย์


มิวสิควิดีโอโปโมชั่นโดย Parlophone Records
Coldplay - Viva La Vida(Or Death And All His Friends) หรือ บทเพลงแห่งความตาย
Songwriters: Berryman, Guy Rupert; Buckland, Jonathan Mark; Champion, Will; Martin, Christopher A J


I used to rule the world กูเคยปกครองโลกนี้
Seas would rise when I gave the word น้ำทะเลยังกระเพื่อมขึ้นเมื่อกูลั่นวาจา
Now in the morning I sleep alone ในเช้านี้ กูนอนโดดเดี่ยวคนเดียว
Sweep the streets I used to own กวาดถนนต่างๆที่กูเคยเป็นเจ้าของ

I used to roll the dice กูเคยลองโยนลูกเต๋า
Feel the fear in my enemy's eyes หยั่งดูความกลัวในสายตาของเหล่าศัตรู
Listen as the crowd would sing ฟังเสียงฝูงชนร้องสรรเสริญเยินยอ
"Now the old king is dead! Long live the king" "กษัตริย์แก่ได้ตายไป ขอจงทรงพระเจริญ"

One minute I held the key ในช่วงครู่หนึ่ง ที่กูถือกุญแจ
Next the walls were closed on me แล้วกำแพงก็ปิดกั้นกูไว้
And I discovered that my castles stand และกูก็พบว่า ปราสาทของกู
Upon pillars of salt and pillars of sand มันแค่ตั้งอยู่บนกองเกลือกองทราย

I hear Jerusalem bells a ringing กูได้ยินเสียงระฆังเมืองเจรูซาเล็ม
Roman Cavalry choirs are singing ทหารม้าโรมันร้องเพลงประสานเสียง
Be my mirror, my sword and shield ขอได้โปรดเป็นกระจก เป็นดาบ เป็นเกราะกำบัง
My missionaries in a foreign field บรรดาสาวกของกูมันไปเทศนาอยู่ต่างแดน

For some reason I can't explain ด้วยเหตุผลที่กูไม่สามารถอธิบายได้
Once you go there was never เมื่อมึงเดินไปถึงจุดนั้นแล้ว
Never an honest word มันไม่มีคำพูดที่ซื่อสัตยอีกต่อไป
And that was when I ruled the world นั่นมันคือช่วงที่กูปกครองโลกนี้

It was the wicked and wild wind มันดุจดังลมป่าผีบ้า
Blew down the doors to let me in พัดพังประตูให้กูก้าวเข้าไป
Shattered windows and the sound of drums หน้าต่างแตกกระจาย และเสียงเคาะกลองก้องดัง
People couldn't believe what I'd become ผู้คนต่างไม่เชื่อว่า กูได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว

Revolutionaries wait การปฎิวัติที่รอคอย
For my head on a silver plate เพื่อเอาหัวของกู ไปวางบนจานเงิน
Just a puppet on a lonely string กูเป็นเพียงหุ่นเชิดด้วยเชือกสายเดี่ยว
Oh who would ever want to be king? แล้วใครบ้างล่ะ อยากจะเป็นกษัตริย์

I hear Jerusalem bells a ringing กูได้ยินเสียงระฆังแห่งเจรูซาเล็ม
Roman Cavalry choirs are singing ทหารม้าโรมันร้องเพลงประสานเสียง
Be my mirror, my sword and shield ขอได้โปรดเป็นกระจก เป็นดาบ เป็นเกราะกำบัง
My missionaries in a foreign field บรรดาสาวกของกูมันไปเทศนาอยู่ต่างแดน

For some reason I can't explain ด้วยเหตุผล ที่กูไม่สามารถอธิบายได้
I know Saint Peter won't call my name กูรู้แก่ใจว่า แม้นนักบุญปีเตอร์ ยังไม่อยากเอ่ยถึงชื่อกู
Never an honest word ไม่มีคำพูดที่ซื่อสัตย์
But that was when I ruled the world แต่นั้นมันเป็นช่วงที่ กูปกครองโลกนี้

ภาษาไทยโดย นายสิน แซ่จิ้ว
-------------------------------------------------------------------------------------

แด่ กษัตริย์ไม่เคยยิ้ม ด้วยบทเพลงแห่งความตาย Viva La Vida(Or Death And All His Friends)

เนื้อหาการตีความหมายของเพลง Viva La Vida นี้ เป็นการอ้างถึงเรื่องราวของพระเยซู หรือ จีซัส ไครสต์(Jesus Christ) ตามที่ได้บันทึกไว้ในไบเบิล ที่บอกว่า จีซัส สามารถออกคำสั่งบังคับน้ำทะเลให้ขึ้นหรือลงได้ และจีซัส ยังได้ยอมรับว่าตัวเองถูกหลอกโดยสาวกที่ใกล้ชิด ซึ่งในทางศาสนาคริสต์บอกว่า จีซัสนั้นเที่ยบเท่ากับเป็นกษัตริย์ทางศาสนา แต่ก็ต้องตายอย่างสามัญชนคนธรรมดา โดยให้พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต ส่วนคำว่ากษัตริย์ในภาษาที่ใช้กันสมัยนั้น ความหมายโดยทั่วไปก็คล้ายกับว่าเป็นผู้นำ

การเปรียบเปรยในบทเพลง บ่งบอกถึงช่วงที่ จีซัสออกไปเทศนาบนเนินเขา และกล่าวว่า คนฉลาดสร้างบ้านอยู่บนก้อนหิน ขณะที่คนโง่นั้นสร้างบ้านอยู่บนกองทราย เพื่อรอให้น้ำทะเลเซาะพัง

ในช่วงสมัยนั้น มีการอ้างตัวว่าเป็นกษัตริย์ บางคนก็คิดว่า จีซัสคือกษัตริย์ บ้างก็เชื่อว่ากษัตริย์ก็คือผู้มีอำนาจจากโรมัน และบ้างก็เชื่อว่ากษัตริย์คือพวกพระชาวยิว การสวดมนต์อ้อนวอนในสมัยโบราณ ขอให้พระเจ้าเป็นโล่เป็นเกราะป้องกันภัยต่างๆ เป็นเหมือนการสวดอ้อนวอนให้กำลังใจสำหรับตนเอง การพูดถึงสาวกของตนต่างอยู่ที่ต่างแดน หมายถึง การแพร่กระจายความเชื่อในเรื่องของศาสนาคริสต์ไปทั่วทุกสารทิศ และการที่กล่าวถึงว่า ไม่มีคำพูดที่ซื่อสัตย์นั้นก็คือ การที่จีซัสถูกหลอกโดยสาวกของตนเองชื่อว่า จูดัส(Judas Iscariot)จนได้รับผลลงโทษถึงแก่ความตายในที่สุด

ในช่วงระยะก่อนที่จีซัสจะได้รับการนับถือนั้นมี จอนห์ เดอะ เบ็บติส (John the Baptist) ได้อ้างว่าตนเองจะเป็นผู้นำจีซัสมาให้โลกได้รู้จัก ในช่วงเวลานั้นชาวบ้านต่างเชื่อว่า จอนห์ คือตัวแทนศาสนาที่แท้จริง แต่ จอนห์ ได้ปฎิเสธและบอกว่าคนอื่นจะทำหน้าที่แทนเขา แล้วต่อมากษัตริย์แฮรอด ของชาวยิว ได้สั่งทหารตัดหัวจอนห์เอาไปประจานบนจานเงิน ในบทเพลงช่วงสุดท้ายยังได้ร้องบอกว่า แม้นแต่นักบุญปีเตอร์ก็ยังไม่อยากเอ่ยชื่อของจีซัส ซึ่งหมายถึงการที่นักบุญปีเตอร์ปฎิเสธถึงสามครั้งว่า ไม่เคยรู้จักกับจีซัส ก่อนที่ทหารโรมันจะนำตัวจีซัสไปตึงไม้กางเขน

บทเพลงนี้ อาจจะใช้เปรียบเปรยได้เหมาะสมกับความเป็นไปของกษัตริย์ไม่เคยยิ้ม ที่ทำตัวเป็นเทพให้ชาวบ้านเคารพบูชา ใช้กฎหมายหมิ่นฯในการป้องกันตัวเองไม่ให้กระทบกระเทือนได้ การสร้างบารมีต่างๆให้คนเชื่อถือราวกับว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด อันเป็นเพธุบายโดยใช้ศาสนาบังหน้า เพื่อสร้างและกอบโกยผลประโยชน์ให้กับตัวเอง ครอบครัว และสถาบัน สิ่งเหล่านี้ก็ย่อมมีวันที่สิ้นสุดได้เช่นกัน แม้นจะยังไม่มีการตัดหัวเอามาประจานบนจานเงิน อย่างกษัตริย์แฮรอดทำกับนักบุญจอนห์ หรือทหารโรมันจับพระเยซูตึงไม้กางเขน แต่ในที่สุดความตายก็สามารถตามมากระชากดวงวิญญาณของกษัตริย์ไม่เคยยิ้มได้เช่นกัน